Abstract:
ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาแผนที่และฐานข้อมูลศักยภาพแสงสว่างธรรมชาติสำหรับ
ประเทศไทย โดยได้ทำการหาปริมาณแสงสว่างธรรมชาติในรูปของความเข้มแสงสว่างจากส่วนต่างๆ
ของท้องฟ้ (sky Iuminance) และความเข้มแสงสว่างธรรมชาติบนพื้นราบ (global iluminance) ใน
การคำนวณความเข้มแสงสว่างจากส่วนต่าง ๆ ของท้องฟ้า ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาแบบจำลองเชิงสถิติ ซึ่ง
เขียนในรูปของผลคูณของฟังก์ชัน F, และ F, โดย F, เป็นฟังก็ชันของมุมเซนิธของดวงอาทิตย์กับจุดที่
พิจารณาบนท้องฟ้า และ F, เป็นฟิงกัชันของระยะเชิงมุมระหว่างจุดบนท้องฟ้กับควงอาทิตย์ จากนั้นได้
ทำการวิเคราะห์หาฟังก์ชัน F, และ F, โดยการใช้ข้อมูลความเข้มแสงสว่างจากส่วนต่าง ๆ ของท้องฟ้า ซึ่ง
ทำการวัดที่จังหวัดนครปฐม (13.81 N, 100.04* E) ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2002 ถึงเดือน
พฤษภาคม ค.ศ. 2003 ร่วมกับข้อมูลสัมประสิทธิ์การสะท้อนของบรรยากาศและพื้นผิวโลกที่ได้จาก
ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม GMS-5 หลังจากการทดสอบความละเอียดถูกต้องของแบบจำลองแล้ว ผู้วิจัยได้
ใช้แบบจำลองดังกล่าวคำนวณค่าความเข้มแสงสว่างจากส่วนต่าง ๆ ของท้องฟ้า ที่ทุกอำเภอของทุก
จังหวัดในประเทศไทย
ในด้านของความเข้มแสงสว่างธรรมชาติบนพื้นราบ ผู้วิจัยได้พัฒนาแบบจำลองเชิงฟิสิกส์ ซึ่ง
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสัมประสิทธิ์การสะท้อนของบรรยากาศและพื้นผิวโลกในช่วงความยาวคลื่น
แสงสว่างกับสัมประสิทธิ์การดูดกลืนและการกระเจิงรังสีดวงอาทิตย์ขององค์ประกอบต่างๆ ของ
บรรยากาศ โดยสัมประสิทธิ์การคูดกลืนรังสีดวงอาทิตย์ของไอน้ำจะคำนวณจากข้อมูลอุณหภูมิและ
ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ สัมประสิทธิ์ของการดูดกลืนและการกระเจิงรังสีดวงอาทิตย์ของฝุ่น
ละอองจะคำนวณจากข้อมูลทัศนวิสัย สำหรับสัมประสิทธิ์การดูดกลืนของโอโซนจะคำนวณจากข้อมูล
ปริมาณ โอโซนซี่งได้จากเครื่องวัด TOMS ของดาวเทียม Earth Probe ของ NASA จากนั้นได้ทำการ
ทดสอบแบบจำลองโดยใช้ข้อมูลความเข้มแสงสว่างธรรมชาติ ซึ่งทำการวัคที่สถานีเชียงใหม่ (18.780 N,
98.980 E) สถานีอุบลราชธานี (15.250 N, 104.87*E) สถานีสงขลา (7.200 N, 100.60*E) และสถานี
นครปฐม จากผลการทดสอบพบว่าความเข้มแสงสว่างธรรมชาติที่คำนวณได้จากแบบจำลองมีค่าสอด
คล้องกับค่าที่ได้จากการวัด โดยมีค่า root mean square difference เท่ากับ 8.1 % หลังจากนั้น ผู้วิจัยได้
ใช้แบบจำลองดังกล่าวคำนวณค่าความเข้มแสงสว่างธรรมชาติทั่วประเทศ แล้วนำค่าที่ได้มาจัดแสดงใน
รูปแผนที่ศักขภาพแสงสว่างธรรมชาติของประเทศไทย ทั้งในรูปของข้อมูลรายชั่วโมงเฉลี่ยต่อเดือนและ
เฉลี่ยต่อปี จากแผนที่รายชั่วโมงเฉลี่ยต่อเดือนพบว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้รับแสงสว่างธรรม
ชาติสูงสุดในเดือนเมยายน โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 80-100 kx เมื่อพิจารณาจากแผนที่รายชั่วโมงเฉลี่ยต่อปีพบว่า 44.1% ของพื้นที่ของประเทศได้รับแสงสว่างธรรมชาติในช่วง 75-80 KX โคยบริเวณที่มีค่าความ
เข้มแสงสว่างสูงสุดที่ตอนกลางของภาคกลางและภาคใด้ตอนล่าง สำหรับบริเวณภูเขาในภาคเหนือซึ่งคิด
เป็นพื้นที่ประมาณ 1.7 % ของพื้นที่ของประเทศได้รับแสงสว่างธรรมชาติก่อนข้างต่ำ โดยมีค่าอยู่ในช่วง
50-65 Kx ผลที่ได้นี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพแสงสว่างธรรมชาติค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ผู้
วิจัยยังได้จัดทำฐานข้อมูลแสงสว่างธรรมชาติสำหรับใช้ในงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป